จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับสถานทูตรัสเซียและมูลนิธิวัฒนธรรมสงวนรักษา เปิดฉายภาพยนตร์สารคดี “ARCHITECTURE OF THE BLOCKADE” ประวัติศาสตร์ต้องเรียนรู้เพื่อเป็นบทเรียนในอนาคต ย้ำการอนุรักษ์ฯต้องเกิดจากประชาชนถึงยั่งยืน
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสำนักงานศิลปะและวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สถานเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย และ มูลนิธิวัฒนธรรมสงวนรักษา จัดงานกิจกรรมพิเศษในโอกาสครบรอบ 80 ปีวันแห่งชัยชนะของรัสเซียเปิดฉายภาพยนตร์สารคดี “ARCHITECTURE OF THE BLOCKADE” ณ หอแสดงดนตรี อาคารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผู้สนใจด้านสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ สงครามโลกครั้งที่สอง และมรดกทางวัฒนธรรมได้มีโอกาสเรียนรู้ประวัติศาสตร์

ภายในงานยังจัดให้มีนิทรรศการภาพถ่าย “LENINGRAD LIBERATION SALUTE”และการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “THE BOMBING OF BANGKOK DURING WWII : DESTRUCTION AND PRESERVATION, 1942-1945” โดยรศ.ดร.พีรศรี โพวาทอง อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหัวข้อ “ARCHITECTURE OF THE BLOCKADE : THE PRESERVATION OF LENINGRAD DURING WWII” วิทยากรรับเชิญจากสหพันธรัฐรัสเซีย MR.VIKTOR NAUMOV, MR.MAXIM YAKUBSON และMR.ALEXANDER LEONTIEV
ทั้งนี้ รศ.ดร.ยุทธนา ฉัพพรรณรัตน์ รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ยุคของศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร เป็นอธิการบดีฯได้ให้ความสำคัญเรื่องของ social engagement มากจึงได้แต่งตั้งตนมาดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีฯ มาดูแลด้านนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นมิติของความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน เมือง และประวัติศาสตร์ เป็นพื้นที่ของการถอดบทเรียนการเชื่อมต่อยุคสมัยระหว่างปัจจุบันและอนาคต กิจกรรมนี้จึงเปิดพื้นที่อิสระให้ทางสถานเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทยมาจัดกิจกรรมดีๆ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนที่มีการปฏิสัมพันธ์เรื่องของปัจจุบันและอดีตได้เข้ามาเรียนรู้กันกับการถอดบทเรียนที่ต้องทบทวนและบทเรียนแห่งความสำเร็จไปด้วยกันจนอาจจะกลายเป็นการคิดอย่างมีวิจารณญาณของคนรุ่นต่อไป

“จากกิจกรรมบรรยายพิเศษที่จะเกิดขึ้นในวันนี้เราต้องถอดบทเรียนทางวิชาการเพราะเป็นเนื้อหาสำคัญที่ต้องพัฒนาให้กลายเป็นบทเรียนออนไลน์หรือใช้เครื่องมือต่างๆ เป็นช่องทางในการส่งต่อไปถึงผู้เรียนหลายคนได้ศึกษาเรียนรู้ต่อไป โดยเฉพาะนักศึกษาหรือเด็กรุ่นใหม่ให้ได้อ่านประวัติศาสตร์เพื่อจะเป็นบทเรียนหรือนำไปประยุกต์ใช้ในอนาคตของชาติอย่างมีวิจารณญาน”รองอธิการบดีฯกล่าว
ด้าน ผศ.สรายุทธ ทรัพย์สุข คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า เราได้ดูภาพยนตร์แล้วคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยได้เห็นมากในประเทศไทยคือการอนุรักษ์มาจากประชาชน และคนที่อาศัยอยู่กับอาคารสถานที่ การอนุรักษ์ไม่ได้มาจากผู้ปกครองเมืองหรือประเทศทำให้ค่อนข้างประสบความสำเร็จมาก เพราะในช่วงภาวะสงครามในเลนินกราดทางรัฐบาลหรือทหารวุ่นวายในเรื่องการบริหารจัดการการสงครามไม่มีเวลามาช่วยดูแลในเรื่องการอนุรักษ์สถานที่

สำหรับประเทศไทยยังมีจุดอ่อนด้านการอนุรักษ์ควรเร่งทำความเข้าใจใน 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรก เรื่องของความผูกพัน ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาคารอนุรักษ์หรือมรดกทางวัฒนธรรมต่างๆ ต้องมาจากประชาชนหรือผู้ที่มีความผูกพันเอง ซึ่งเรื่องของการถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจสิ่งต่างๆจากรุ่นสู่รุ่นอาจจะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในเรื่องมรดกทางวัฒนธรรมและประเด็นที่สอง เรื่องของความเร็วในการรับวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมที่เราซึมซับและเปลี่ยนแปลงตามได้เร็วทำให้เรื่องของมรดกวัฒนธรรมที่มีความผูกพันกับความทรงจำหายไปเร็ว ด้วยเหตุนี้ ทางคณะสถาปัตยกรรม หรือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีความสัมพันธ์กับสถาบันการศึกษาต่างประเทศจำนวนมากจึงส่งเสริมให้เกิดความสัมพันธ์ที่เข้าใจเรื่องของวัฒนธรรมที่แตกต่างพร้อมกับมีการแลกเปลี่ยนความรู้ต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์ที่ฉายในวันนี้นำมาจากประเทศรัสเซียเป็นการถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึก และคุณค่าต่างๆ ทำให้เกิดการสร้างความรู้ความเข้าใจและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่แตกต่างส่งผลนำไปสู่การเป็นพลเมืองโลกร่วมกันที่ไม่มีเส้นเขตแดน
ผศ.สรายุทธ กล่าวต่อไปอีกว่า เรื่องของการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยกับเยาวชนหรือประชาชนนั้น ต้องนำวัฒนธรรมเข้าหาทุกคนด้วย โดยวัฒนธรรมต้องปรับเปลี่ยนยืดหยุ่นให้เข้ากับยุคสมัยซึ่งจะทำให้สามารถคงวัฒนธรรมอยู่ได้ เช่น อาคารสถานที่จะอนุรักษ์สภาพเดิมอยู่ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างน้อยต้องมีเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาด้วยเพื่อจะสามารถอยู่ได้ยั่งยืน ทั้งนี้ การอนุรักษ์ไม่ใช่การเก็บของเก่าแต่เป็นเรื่องของการต่อยอดต้นทุนทางวัฒนธรรมเพื่อนำไปสู่โลกใหม่ที่มีความทรงจำและมีคุณค่าแฝงอยู่ในอนาคต

ขณะที่ รศ.ดร.พีรศรี โพวาทอง อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปรียบเทียบเหตุการณ์ กรณี “Bombing of Bangkok” กับ “การปิดล้อมเลนินกราด” ว่า เหตุการณ์ปิดล้อมเลนินกราดพื้นที่ใหญ่กว่าเหตุการณ์ที่กรุงเทพถูกทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มาก แต่ทั้งสองเหตุการณ์มีความแรงของผลกระทบของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกันในแง่ของความทรงจำของเมืองในลักษณะการสูญเสียชีวิตของพลเรือนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องและที่อยู่อาศัยรวมถึงสถานที่ถูกทำลาย สำหรับความต่างกันคือ เลนินกราดถูกปิดล้อม ซึ่งทหารไม่ยอมให้ข้าศึกเข้ามาในพื้นที่ได้ แต่สำหรับประเทศไทยที่ถูกทิ้งระเบิดเพราะต้องการตัดเส้นทางโลจิสติกส์ของทหารญี่ปุ่น ทั้งนี้ เรารอดจากการทำลายครั้งใหญ่แต่ดูเหมือนไม่ได้พัฒนากลไกการรักษาความทรงจำเชิงพื้นที่ไว้อย่างชัดเจน
“บางครั้งเราเผลอคิดว่าสงครามเป็นเรื่องของอดีต แต่ที่จริงสงครามพร้อมจะกลับมาใหม่อีกครั้ง เพราะฉะนั้นอยากจะทำให้นิสิตได้เห็นว่า สงครามไม่มีใครอยากให้เกิดแต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมีผลกระทบอย่างไรต่อความเสียหายของชีวิตและสถาปัตยกรรม แต่เมืองต่างๆ มักจะพยายามลบร่องรอยของสงครามออกไปหรือเปลี่ยนฟังก์ชั่นอาคาร ซึ่งมีเมืองน้อยมากที่จะเก็บภาพของความสูญเสียไว้เป็นอนุสรณ์ ประเทศไทยควรจะเรียนรู้จากประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร รวมถึงส่งผลกระทบต่อประเทศและประชาชนอย่างไร ซึ่งสามารถศึกษาข้อมูลความจริงที่บันทึกไว้หลากหลายรูปแบบ”รศ.ดร.พีรศรีกล่าว

และด้าน Mr.Evgeny Tomikhin เอกอัครราชทูตสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย กล่าวว่า เลนินกราดไม่ได้เป็นเพียงชื่อที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของเรา แต่เป็นสัญลักษณ์ที่มีชีวิตของความเข้มแข็งที่ไม่แตกสลายของจิตวิญญาณมนุษย์ สังคมรัสเซียได้รักษาความทรงจำนี้ไว้ไม่ใช่เพียงแค่ผ่านอนุสรณ์สถานหรือกิจกรรมรำลึกเท่านั้น แต่ผ่านประเพณีทางศีลธรรมที่ไม่ขาดสาย จิตวิญญาณของการปิดล้อมเลนินกราดอยู่ในครอบครัวของเรารวมถึงเรื่องราวที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น และนอกจากนี้เลนินกราดเป็นตัวอย่างของความสามัคคีและความกล้าหาญ รวมถึงยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทั้งประเทศในฐานะเครื่องพิสูจน์ที่มีชีวิตถึงศรัทธา มนุษยธรรม ความยุติธรรม และความเข้มแข็งทางศีลธรรมที่ยั่งยืน ที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
“หากเริ่มลืมประวัติศาสตร์ หรือเริ่มสูญเสียประเพณี วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ก็จะสูญเสียอัตลักษณ์ประจำชาติอย่างแน่นอน ดังนั้นจากมุมมองความเข้าใจการระลึกถึงบทเรียนทางประวัติศาสตร์จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนรุ่นใหม่ในอนาคต ซึ่งตนคิดว่าการอนุรักษ์อนุสรณ์สถาน หรือ การอนุรักษ์ความทรงจำ ควรได้รับการปกป้องทั้งคู่รวมถึงควรคิดถึงวิธีการถ่ายทอดมรดกประวัติศาสตร์ไปสู่ลูกหลานหรือคนรุ่นใหม่ในอนาคต เพราะถ้าใครหยุดเรียนรู้จากบทเรียนทางประวัติศาสตร์อาจจะตกอยู่ในอันตรายครั้งใหญ่ในอนาคต” Mr.Evgeny Tomikhin กล่าวทิ้งท้าย

